พึงถอนจีวรของคนแล้ว ถือเอาจีวรของภิกษุหนุ่มด้วยวิสาสะ พึงเก็บไว้.
ถ้าพระเถระระลึกไม่ได้ แต่ภิกษุหนุ่มระลึกได้ ภิกษุหนุ่มพึงถอนจีวรของ
คน แล้วถือเอาจีวรของพระเถระด้วยวิสาสะแล้วไปเรียนว่า ท่านขอรับ
ท่านจงอธิษฐานจีวรของท่านเสียแล้วใช้สอยเถิด. จีวรของตน เธอก็พึง
อธิษฐาน. แม้ด้วยความระลึกได้ของภิกษุรูปหนึ่งอย่างนี้ ก็ย่อมพ้นอาบัติ
ได้แล. คำที่เหลือมีอรรถอันตื้นทั้งนั้น.
บรรดาปกิณกะมีสมุฎฐานเป็นต้น ในปฐมกฐินสิกขาบทเป็นอกิริยา
คือไม่อธิษฐานและไม่วิกัป ในสิกขาบทนี้เป็นอกิริยา คือไม่ปัจจุทธรณ์
(ไม่ถอน) อันนี้เท่านั้นเป็นความแปลกกัน. คำที่เหลือในฐานะทั้งหมด
มีนัยดังกล่าวแล้วทั้งนั้นแล.
พรรณนาอุทโทสิตสิกขาบท จบ
จีวรวรรค สิกขาบทที่ 3
เรื่องภิกษุรูปหนึ่ง
[32] โดยสมัยนั้น พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ พระ-
เชตวัน อารามของอนาถบิณฑิกคหบดี เขตพระนครสาวัตถี ครั้งนั้น
อกาลจีวรเกิดแก่ภิกษุรูปหนึ่ง เธอจะทำจีวร* ก็ไม่พอ จึงเอาจีวรนั้นจุ่มน้ำ
ตากแล้วดึงเป็นหลายครั้ง พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จจาริกไปตามเสนาสนะ
ทอดพระเนตรเห็นเธอเอาจีวรนั้นจุ่มน้ำตากแล้วดึงเป็นหลายครั้ง จึงเสด็จ
* ไตรจีวรผืนใดผืนหนึ่ง